สำหรับบางคน ถ้าทำเองได้คงง่ายกว่ามานั่งอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัว….
ซึ่งนั่นเอง ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ “บรีฟ(here)” ที่ทำ Designer ส่วนใหญ่ว้าวุ่นใจมานักต่อนัก
แต่ๆๆ มันก็พอที่จะปรับหาจุดกึ่งกลางระหว่างคนบรีฟกับคนรับบรีฟ ให้เข้าใจกันได้อยู่บ้าง ซึ่งเราเองจะขอแชร์แนวทางการบรีฟ ในสายงาน Marketing ของเรา ที่งานหลักแทบจะเรียกได้ว่าเป็นนักบรีฟคนหนึ่งไปแล้ว…
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราขอเรียกสิ่งนี้ว่า
Framework “ บรีฟยังไงให้เขารัก ”
1. Overview: เล่าภาพรวม
ก่อนอื่น เราจะต้องบอกจุดประสงค์ของงานชิ้นที่เรากำลังจะบรีฟนี้ก่อน ว่าต้องการทำเพื่ออะไร (Objective) จะสื่อสารไปหาใคร (Audience) ผ่านช่องทางไหนบ้าง (Channels) เพื่อให้ฝั่ง Designer เห็นองค์รวม ภาพใหญ่ไปกับเรา และหารูปแบบการดีไซน์ได้เหมาะสม ตรงจุดมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นอาจยังช่วยแนะนำ
ต่อยอดให้งานออกมาปังได้อีก
2. Mood & #Tone: อยากได้อารมณ์ประมาณไหน
วิธีการบรีฟ ที่ดีจำเป็นต้องมี Mood & Tone ที่ชัดเจน เช่น อยากให้แบนเนอร์ชิ้นนี้ดูสดใส มีความสนุกสนาน แต่โดยรวมก็ยังมีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
ฝั่ง Designer พอได้รับโจทย์ไป ก็ต้องคิดต่อแล้วว่า ควรใช้สีอะไรที่ทำให้ดูสนุกกึ่งทางการ ควรใช้ภาพประกอบแบบไหน และเลือกฟ้อนต์แบบไหนที่จะทำให้งานออกมาตอบโจทย์มากที่สุด
3. ColorPalette: เฉดไหนดี
โดยปกติงานออกแบบจะมีกลุ่มสีที่แบรนด์นั้นๆกำหนดไว้อยู่แล้ว ซึ่งนักบรีฟควรจะระบุสีที่ต้องการให้ชัดเจน ว่าใช้สีใดเป็นหลัก สีไหนเป็นสีรอง ทางที่ดีควรระบุรหัสของสีนั้นๆไปเลย เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
เพราะถ้าหากเราบรีฟไปแค่ว่า “ใช้สีเขียวนะคะ” ภาพที่ลอยขึ้นมาให้หัว Designer ก็จะมีประมาณ 10 เฉด
ซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าที่เราหมายถึงคือเขียวไหน ทางที่ดีบอกรหัสสีไปเลยจบปิ๊ง
4. TextApproval: บรีฟถูกต้อง และต้องถูก
เชื่อไหมว่าการปรับเปลี่ยน Text เพียงเล็กน้อย อาจทำให้ Designer ต้องขยับ Layout ใหม่ทั้งหมด เสี่ยงต่อการโดนทุบหลัง และทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับ Designer พังลงได้
ในฐานะนักบรีฟ เราต้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆเป็นอย่างดี ก่อนที่จะส่งต่อ โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญเช่น ชื่อ วันที่ ราคา หรือรหัสต่างๆ แต่หากในกรณีที่การแก้ไขนั้นมาจาก Third Party เช่นลูกค้าขอเปลี่ยน หรือเกิดเหตุจำเป็นใดๆ ก็พอจะเป็นเหตุผลที่ชี้แจงกันได้อยู่บ้าง
5. KeyConcern: ควรระวังจุดไหน ให้บอก
ตรงนี้สำคัญมาก นักบรีฟต้องชี้ให้เห็นว่าจุดไหนที่ให้ระวัง เช่น งดใช้สีดำ ใช้โลโก้สีนี้เท่านั้น หรือโลโก้ A ต้องอยู่ก่อน โลโก้ B เสมอ ซึ่ง Designer จะไม่สามารถรู้ข้อจำกัดตรงนี้ได้เลย
6. AttachFile: รวมไว้ในไดรฟ์ ง่ายต่อการทำงาน
วิธีหนึ่งที่เรามักจะใช้ในการบรีฟก็คือ รวมไฟล์รูปและไอคอนต่างๆที่อยากได้ไว้ใน Google Drive และส่งลิงก์ให้ Designer พร้อมใช้เสร็จสรรพ ข้อดีก็คือเราไม่ต้องคอย Zip ไฟล์ หรือส่งไฟล์ไปมาหลายครั้ง
และยังเป็นการจัดข้อมูลให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการค้นหาอีกด้วย เพียงอัปโหลดไฟล์เข้าไปใน Google Drive Designer ก็สามารถเข้าไปหยิบไฟล์ที่ต้องการได้เอง หรือหากมีการแก้ไขไฟล์ใดๆ ก็เพียงอัปโหลดเข้าไปใหม่ หรือส่งลิงก์เฉพาะไฟล์ที่อัปเดตใหม่ให้ได้โดยตรง
7.Sizing: กำหนดไซส์
บรีฟรายละเอียดเสร็จ อย่าลืมบรีฟไซส์ เพราะแค่ Facebook แพลตฟอร์มเดียว ก็มีมากมายหลายไซส์เหลือเกิน ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่เราต้องการนำเสนอ
เช่น เป็นภาพเดี่ยว อัลบั้ม หรือจะเป็น Carousel หรือขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของ Text และภาพ ที่เราต้องการใส่ลงไป ก็ต้องกำหนดไซส์ให้ดี มีความเหมาะสม
8. Layout: วางโครงคร่าวๆ
การบรีฟโดยวาง Layout คร่าวๆ ทำให้ Designer เข้าใจสิ่งที่เราต้องการได้ชัดเจนมากขึ้น เช่น
เน้นราคาให้เด่นที่สุด โลโก้วางอยู่มุมขวาบน เป็นต้น อาจไม่ต้องกำหนดทุกอย่างแบบเป๊ะๆ แต่อย่างน้อยควรให้ Designer รู้ว่าจุดไหนที่ควรเน้นเป็นพิเศษ
9. Reference: บรีฟเน้นให้เห็นภาพ
เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน นักบรีฟควรแนบตัวอย่างงานที่ต้องการไปด้วย ทั้งภาพรวมการออกแบบ หรือแม้แต่ภาพประกอบที่ต้องการ เพราะ Designer ไม่อาจรู้ได้ว่าจริงๆแล้วเราอยากได้รูปลักษณะไหน
เช่น เราอาจจะบรีฟเพียงว่าใช้รูปผู้ชายที่ดูสุภาพ ซึ่งจะเห็นได้ว่าสามารถตีความได้หลายแบบ Designer อาจจะเลือกใช้ภาพผู้ชายใส่เสื้อยืดสีพื้น แต่ในหัวเราอาจหมายถึงผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็ได้
10. DueDate: ส่งได้เมื่อไหร่ดี
เมื่อทำการบรีฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรกำหนดวันส่งมอบงานให้เหมาะสม ซึ่ง Designer แต่ละคน ใช้เวลาในการทำงานมากน้อยแตกต่างกันไป ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน นักบรีฟเองก็ต้องวางแผนดีๆ บรีฟให้ครบ อย่าส่งบรีฟช้า ก็จะได้งานตรงตามเวลาแน่นอน…
– Juice Maker –
สนใจปรึกษาการทำการตลาดดิจิทัล หรืออยากให้เราช่วยทำการตลาดให้ คลิกปุ่มด้านล่างเพื่อติดต่อทีมงาน
ติดต่อเรา